บทความเรื่อง “ปรากฏการณ์เสื้อเหลือง” นายอภิชาติ วัชรพันธุ์ รหัส 4977802009
ดร.เลิศชาย ศิริชัย มหาวิทยาลัยวลักษณ์
เสื้อเหลืองเกิดขึ้นได้อย่างไร?
จุดเริ่มต้นเสื้อเหลืองนั้น เนื่องมาจากวันจันทร์เป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สีเหลืองอันสีเป็นประจำวันจึงเป็นสีสัญลักษณ์พระองค์ท่าน ถูกนำมาผลิตเป็นโปรดักส์ต่าง ๆ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ ในวาระมหามงคล ปีแห่งพ่อหลวงของปวงไทย
ปรากฏการณ์เสื้อเหลืองเริ่มขึ้นมา เดือนมิถุนายน 2549 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองแห่งการครองสิริราชสมบัติมาครบ 60 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จสีหบัญชรพระที่นั่งอนันตสมาคม ประชาชนคนไทยนับแสนคนพร้อมใจกันสวมเสื้อเหลืองมารอเข้าเฝ้าเต็มสองฟากถนนราชดำเนินนอก “สีเหลือง” ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยที่จะเห็นได้ทั่วไป และในอดีตที่ผ่านมาพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันที่อยู่คู่กับบ้านเมืองเป็นเวลาช้านานมาแล้ว ประกอบกับพระองค์ท่านทรงเสียสละทุ่มเทพระวรกายเพื่อบ้านเมืองของพระองค์ท่าน ทำไมพระองค์จึงกระทำเช่นนั้น มีเหตุการณ์หนึ่งในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถพระที่นั่งเ สด็จพระราชดำเนินไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า "ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน" ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจว่าต่อมาอีกประมาณ ๒๐ ปี ขณะทรงเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัด ทรงได้พบชาย ผู้ร้องตะโกนคนนั้น ชายผู้นั้นกราบบังคมทูลว่า ที่เขาร้องตะโกนออกไปเช่นนั้นเพราะรู้สึกว้าเหว่และ ใจหาย เขาเห็นพระพักตร์เศร้ามาก จึงร้องไปเหมือนคนบ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบว่า "นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา" เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จประชวรทรงรักษาพระวรกาย ณ โรงพยาบาลศิริราช มีประชาชนรอเข้าเฝ้าจนล้นโรงพยาบาล จนกระทั่งพระองค์หายประชวร เป็นการแสดงถึงพลังที่เกิดขึ้นเพื่อให้กำลังใจแก่พระองค์ท่าน เพื่อต่อสู้พระวรกายและมีกำลังใจลุกขึ้น เพื่อราษฎร์ของพระองค์ท่านต่อไป
เสื้อเหลืองเป็นการตรวจสอบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ?
การที่เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น เป็นการตรวจสอบดูว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ มีประชาชนเคารพและศรัทธามากน้อยเพียงใด มีผลต่อผู้ปกครองบ้านเมืองที่ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงหุ่นหรือสัญลักษณ์ ที่ไม่มีอำนาจหรือไม่ ในความเป็นจริงแล้ว พระมหากษัตริย์ยังเป็นที่พึงของประชาชน ในยามที่บ้านเมืองเกิดภัยต่าง ๆ พระองค์ท่านทรงให้ความเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์ท่าน ที่ว่า หากราษฎร์ไม่ทิ้งพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ทิ้งบ้านเมืองเช่นกัน ภารกิจของพระองค์ท่านได้จัดทำโครงการที่พัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ ตามโครงการพระราชดำริ เมื่อยามที่บ้านเมืองสงบสุข นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแก้ไขปัญหาในภาวะที่เศรษฐกิจที่ล่มสลาย ประกาศเป็นปรัชญาที่คนทั่วโลกยอมรับ
คนใส่เสื้อเหลืองมีความรู้สึกเป็นอย่างไร?
“จิรพร มรกตจินดา” ผู้สื่อข่าวของโมเดิร์นไนน์ทีวีซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์วันนั้นเล่าด้วยความปลาบปลื้มว่า ได้ชวนเพื่อนๆ ที่สนิทไปนั่งตั้งแต่เช้า แม้รู้ว่าจะต้องเหนื่อย แต่ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้มีกำลังใจที่จะอยู่เฝ้ารอ ท่ามกลางผู้คนหลายหมื่นคนในบริเวณนั้น “ตอนที่พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสออกมา ทั้งผู้หญิง ผู้ชายที่อยู่ที่นั่นรวมทั้งตัวเราน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งแบบไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงคนข้างๆ ตะโกนร้องว่า “ทรงพระเจริญ” ในนาทีนั้นอยากจะร้องตาม แต่ร้องไม่ออก เพราะตื้นตันอยู่ข้างใน”
จิรพรบอกว่าถือเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เพราะเป็นพสกนิกรคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดี มีกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวข้องกับในหลวงที่ไหน ก็อยากที่จะมีส่วนร่วม มีความสุขกับตรงนั้น
“ศรัญญา ทองทับ” ผู้สื่อข่าวสายพลังงานจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีในช่วงเช้าในวันนั้น ประชาชนจำนวนมากที่เป็นร่วมแสดงความจงรักภักดี ยังคงเดินตามถนนราชดำเนินไปยังสนามหลวง วัดพระแก้วมรกต เพื่อไปชมการซ้อมเห่เรือราชพิธี ชมไฟประดับ และอยู่ร่วมกันจนถึงเที่ยงคืน ความรู้สึกในตอนนั้นเชื่อมั่นว่า ความจงรักภักดีที่มีต่อในหลวงจะไม่มีวันหยุดและไม่มีวันหมดไปจากใจของคนไทย
“ณัฐณิชา ดอนสุวรรณ” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น เผยพร้อมรอยยิ้มว่า รู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่เช้าระหว่างเดินทางออกจากบ้าน เห็นผู้คนใส่เสื้อสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์เต็มไปหมด ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในรถเมล์ รถไฟฟ้าใต้ดิน บางคนเหลืองทั้งตัวแม้กระทั่งเครื่องประดับ จนทำให้เธอที่อยู่ในเสื้อมีเหลืองเช่นกัน เริ่มไม่มั่นใจว่าเหลืองน้อยเกินไปรึเปล่า “สิ่งที่ประทับใจ คือ การที่ได้เห็นคนไทยทุกคนได้ร่วมกันใส่เสื้อสีเหลืองและต่างนั่งลงกับพื้นเฝ้าชมการถ่ายทอดสดทางทีวีตามสถานที่ต่างๆ และตัวเราก็มีโอกาสได้เป็นคนหนึ่งในนั้น ในวันประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศ”
“จันทิมา ศิลชาติ” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ เล่าว่า แม้จะนั่งชมการถ่ายทอดสดทางทีวี แต่หลังได้ยินพระราชดำรัส น้ำตาไหลไม่หยุดด้วยความปลาบปลื้มปิติ อยากให้พระองค์ท่านมีพระชนม์มายุยืนยาวอยู่กับพสกนิกรชาวไทยไปตลอด
“กันยา เลขะวัฒนะ” ผู้สื่อข่าวมันนี่ ชาเนล บอกว่า “แค่ได้เพียงสัมผัสบรรยากาศที่คนร่วมแสนร่วมถวายความจงรักภักดีผ่านทางจอทีวีก็ทำให้เกิดความซาบซึ้งและปลื้มปีติแล้ว ภาพที่อยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืมคือ ภาพที่ในหลวงทรงโบกพระหัตถ์เคียงคู่กับสมเด็จพระราชินี ทำให้รู้สึกว่าพระองค์ท่านคอยห่วงใยเราอยู่ และเราควรจะต้องทำความดี เป็นการถวาย เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี” พลังแห่งความรักและศรัทธาที่ชาวไทยได้ร่วมกันน้อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนี้ ได้แสดงให้ทั่วโลกประจักษ์แล้วว่า สถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นระบอบล้ำค่าสำหรับสังคมไทยอย่างแท้จริง และถ้าวันนี้ประชาชนชาวไทยทั้ง 60 ล้านคน จะต่อยอดพลังแห่งความยิ่งใหญ่นี้ด้วยการที่แต่ละคนปฏิบัติดีทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น วงล้อของสังคมไทยคงจะหมุนและขับเคลื่อนไปสู่เจริญรุ่งเรืองแห่งคุณธรรมอย่างยั่งยืน ดั่งที่พ่อหลวงของพวกเราทุกคนได้ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักทศพิธราชธรรมตลอด 60 ปีแห่งการครองราชย์ ที่ได้นำประโยชน์สุขและความร่มเย็นมายังพสกนิกรของพระองค์ ให้คนไทยทุกคนได้ “เย็นศิระเพราะพระบริบาล” โดยแท้
“ชาลี รัตนวชิรินทร์” กรรมการผู้จัดการ บริษัทน้ำหนึ่งการตลาด จำกัด ผู้ผลิตเสื้อแบรนด์ “เป่ายิ้งฉุบ” วิเคราะห์ตลาดเสื้อเหลืองในรอบล่าสุดว่า น่าจะมีมูลค่าประมาณ 30 ล้านตัว นับจากต้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา และมีเจ้าของเสื้อประมาณ 15 ล้านคน โดยข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ เฉลี่ยจะมี 3 ตัวต่อคนและพ่อค้าแม่ค้ามี 7 ตัวต่อคนเลยทีเดียว
นอกเหนือจากเป่ายิ้งฉุบ ที่ผลิตเสื้อเหลืองจำหน่ายแล้ว ยังมีแบรนด์เสื้อผ้าอื่นๆ ที่ร่วมวาระมหามงคลนี้ด้วย โดยมีทั้งสกรีนคำว่า “เรารักในหลวง” และ “ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี” อาทิ แตงโม Crocodile Bowling เป็นต้น และยังมีบริษัทห้างร้านต่างๆ ก็ได้ทำเสื้อเหลืองเพื่อจำหน่ายในโอกาสสุดพิเศษนี้ด้วย ในวันที่ 5 ธันวาคม 2549 นี้ จะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกวันหนึ่ง เมื่อคนไทย 60 ล้านคน ทั่วประเทศ จะพร้อมใจกับสวมเสื้อเหลืองเพื่อเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อในหลวง ภาพประทับใจที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากความรักและความเทิดทูนอย่างหาที่สุดไม่ได้ของประชาชนชาวไทยที่มีต่อในหลวงของเรา พ่อผู้ทรงเป็นพลังแผ่นดิน ชนิดที่ว่าไม่ต้องสร้างภาพจัดฉาก เหมือนแคมเปญการตลาดใด ๆ เสื้อเหลืองยังคงฟีเวอร์ต่อไปจนถึงปีหน้าในคอลเลกชั่นใหม่ “ตราสัญลักษณ์ 80 พรรษา” จะเป็นปีที่ในหลวงทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ซึ่งจะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ ที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาคราชการ และเอกชน จะพร้อมใจกันจัดงาน เพื่อถวายให้กับในหลวง และจะเป็นปีที่อยู่ในความทรงจำของคนไทยทั้งประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ในมุมมองของสิงห์หนองจอกเห็นว่า การที่ในหลวงทรงเป็นที่รักของปวงชนชาวไทยทุกคนสามารถสรุปเป็นข้อความสั้นๆ ว่า “ทรงปฏิบัติพระองค์ให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สัมผัสได้” ส่งผลให้พสกนิกรทุกคนมีความรู้สึกว่า “ในหลวงทรงติดดิน” เพราะทรงมีวิถีชีวิตที่มิได้แตกต่างจากพสกนิกรของพระองค์ อันจะเห็นได้จากเครื่องใช้ส่วนพระองค์ เช่น รองเท้า เสื้อสูท กระทั่ง หลอดยาสีฟัน ล้วนแต่เป็นเครื่องใช้ที่มีที่มาจากร้านค้าปกติทั่วไปทั้งสิ้น ประกอบกับพระราชกรณียกิจที่ทรงเดินทางไปเยี่ยมพสกนิกรทุกหนแห่งทั่วประเทศ ไม่ว่ายากลำบากเพียงใด ภาพที่ปวงชนชาวไทยทุกคนได้เห็นก็คือ “ในหลวง” ทรงงาน ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพสกนิกรอย่างไม่ถือพระองค์หลายครั้งทรงประทับนั่งบนพื้นแผ่นดินเช่นเดียวกัน ภาพที่เห็นจนชินตาอีกภาพหนึ่งก็คือ ทุกครั้งที่ทรงเสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรในพื้นที่ต่างๆ เครื่องใช้ที่ติดพระองค์เสมอ คือ กล้องถ่ายรูปและแผนที่ เพื่อที่จะทรงได้เก็บข้อมูลประกอบพระราชวินิจฉัยได้อย่างละเอียด ตรงกับสภาพปัญหาที่พสกนิกรประสบอย่างแท้จริง
นับแต่อดีตกาลที่ผ่านมา พัฒนาการของผู้เป็นประมุขแห่งดินแดนขวานทองแห่งนี้เริ่มมาจาก พ่อขุนเทวราชาสมบูรณญาสิทธิราช จนเกิดเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทยว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สูงเกินกว่าพสกนิกรจะสัมผัสได้ จนกระทั่ง เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในห้วงเวลานั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่การเวลาต่อมาด้วยพระปรีชาสามารถของในหลวงสถาบันพระมหากษัตริย์ได้กลับมาเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยอย่างสูงสุด หากแต่มีสาระที่แตกต่างจากในอดีตกล่าวคือ จิตใจของพสกนิกรทุกคนมิได้รวมศูนย์กันเป็นหนึ่งเดียว อันเนื่องจาก การเป็นสมมติเทพของในหลวง หากแต่รวมศูนย์กันเป็นหนึ่งเดียว อันเนื่องจากความรู้สึกร่วมกันว่าพสกนิกรทุกคนเป็นพวกของในหลวงหมายความว่าพสกนิกรทุกคนจะได้รับความเมตตาจากในหลวงอย่างเสมอภาคกันและในหลวงทรงปฏิบัติเช่นนี้ตั้งแต่วันแรกของการครองราชย์จนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลากว่า 60 ปี
เมื่อพสกนิกรทุกคนในผืนแผ่นดินนี้มีความรู้สึกว่าเป็นพวกในหลวง ทุกคนจึงมีความรู้ร้อนรู้หนาวรู้สุข รู้ทุกข์ไปกับพระองค์ท่านด้วย ปรากฏการณ์ทุกครั้งที่ในหลวงทรงประชวร ปวงชนชาวไทยทุกสารทิศจะหลั่งไหลกันไปเฝ้าพระอาการและถวายพระพรอย่างต่อเนืองแน่น ข่าวสารทางสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ เกี่ยวกับพระอาการได้รับความสนใจจากพสกนิกรอย่างล้นหลาม วันที่ 9 มิถุนายน 2549 พสกนิกรจำนวนมากมายมหาศาลรอเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นภาพที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลก แสดงถึงพลังความรัก และความศรัทธาที่พสกนิกรทุกคนมีให้กับในหลวงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลกสมัยใหม่นี่คือ “พระบรมเดชานุภาพ” ของในหลวง เป็น“พระบรมเดชานุภาพ” อันมีที่มาจาก “ศรัทธา” จากจิตใจของพสกนิกรทุกคน
การรอเฝ้ารับ-ส่งเสด็จในหลวง ตั้งแต่พระตำหนักจิตรลดารโหฐานตลอดแนวถนนพระราม 5 ถนนศรีอยุธยาและถนนราชดำเนิน จวบจนวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ขณะขบวนรถพระที่นั่งแล่นผ่านทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” อย่างดังที่สุด เป็นสิ่งที่ไม่สามารถพบเห็นได้เลยในผืนแผ่นดินอื่นบนโลกใบนี้ นอกจากผืนแผ่นดินไทย ที่โดดเด่นที่สุด ก็คือ การแสดงออกถึง “ความรัก ความศรัทธา” ต่อ “ในหลวง” ด้วยการใส่เสื้อสีเหลือง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมาแล้วกว่า 2 ปี พสกนิกรทุกหมู่เหล่าสวมเสื้อเหลืองทุกโอกาสทุกวันทุกกิจกรรม ไม่ว่าไปทำงาน ไปเที่ยว ไปแข่งกีฬา ไปงานเลี้ยง ซึ่งต่อมาพัฒนาไปถึง เนคไท เสื้อสูท เข็มสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติ อีกด้วย ทั้งๆ ที่หลายๆ คนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดจะใช้ จะใส่เสื้อเหลือง อันเนื่องมาจาก ใส่แล้ว ไม่หล่อ ไม่สวย แต่เพราะ “ความรัก ความศรัทธา” ที่มีต่อในหลวงความคิดข้างต้นก็มลายหายไปสิ้น จนอาจเรียกได้ว่าปัจจุบันใครไม่มีเสื้อเหลือง ใครไม่ใส่เสื้อสีเหลือง จะเข้าข่าย “เชย” ทั้งยังเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียง เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการใส่เสื้อเหลืองราคาไม่แพง ก็สามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันของแต่ละคนได้อย่างเป็นปกติสุข โดยไม่จำเป็นต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงแต่ประการใด
การที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สัมผัสได้ ?
จึงเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิด “พระบรมเดชานุภาพ” ที่แท้จริง ส่งผลให้วิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศคลี่คลายไปได้เสมอไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม จึงเป็นหน้าที่ของพสกนิกรทุกคนต้องปฏิบัติตนสนองพระราชดำรัส “ถ้าไม่สามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ประเทศชาติล้ม” เพราะไม่มีแผ่นดินที่ใดในโลกนี้อีกแล้ว ที่พสกนิกรชาวไทยทุกคนจะอาศัยได้อย่างมีความสุขเทียบเท่ากับผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ภายใต้ “พระบรมเดชานุภาพ” ของในหลวง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช”
มุมมองชาวบ้าน จากการที่ลงพื้นที่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช บริเวณตลาดขายผ้าไทยโฮเต็ลพบว่า มีการขายเสื้อผ้ากันมาก ผู้คนมาจับจ่ายเลือกซื้อเสื้อเหลือง ราคาค่อนข้างสูง ช่วงแรกนี้ตลาดขายกันราคาค่อนข้างจะแพง จากราคาตัวละ 150 ขึ้นเป็นตัวละ 250 บาท มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ตามที่ตนเองมาซื้อเสื้อเหลืองมาใส่ เนื่องจากเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ท่านเป็นกษัตริย์ที่ปกครองบ้านเมือง ทุ่มเทพระวรกายให้กับประชาชนชาวไทยและเกษตรกรและทรงเป็นแบบอย่างที่ดี ประกอบกับพระองค์ทรงพระประชวร สงสารพระองค์ท่าน ไม่รู้จะมีวิธีไหนจะแสดงออก จึงมาซื้อเสื้อเหลืองมาใส่เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน
มุมมองพ่อค้า-แม่ค้า เสื้อชนิดอื่น ๆ ขายไม่ค่อยจะได้ จะต้องนำเสื้อเหลืองมาขายเพื่อให้ลูกค้าทั้งค้าส่งค้าปลีกมาถาม แต่ได้สั่งจากกรุงเทพ ยังไม่มีของต้องรอ เนื่องจากทางราชการกำหนดให้ข้าราชการทุกคนใส่เสื้อเหลือง อย่างน้อยเกือบทุกวัน ราคาจึงค่อนสูง รออีกหน่อยราคาคงปกติ
มุมมองของข้าราชการ ทางจังหวัดได้ขอความร่วมมือให้ข้าราชการสวมใส่เสื้อเหลือง เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่า ประหยัดดี ไม่เปลื้องเสื้อมากนัก
มุมมองของนักเรียนนักศึกษา ตามที่ได้สอบถาม การสวมเสื้อเหลือง บางครั้งเวลาเดินออกไปข้างนอกไม่สามารถแยกออกได้ว่า เป็นผู้ปกครอง นักเรียนนักศึกษา แต่การสวมเสื้อเหลืองนับว่าเป็นโอกาสดีที่ได้แสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยทุกคนเคารพ
เสื้อเหลืองก่อให้เกิดพลังของคนในชาติอย่างไร?
กรณีที่มาของเสื้อเหลืองพอที่จะทราบความหมายโดยทั่วไปแล้วว่า ทำไมประชาชนจึงสวมเสื้อเหลือง ด้วยเหตุผลบางประการมาแล้วข้างต้นที่ได้กล่าวถึง มีที่มาที่ไปพอสมควร หากเราจะมองย้อนหลังไปอีกสักนิดหนึ่งว่า สภาวะบ้านเมืองที่ผ่านมา มีการเลือกตั้งระบอบประชาธิปไตย แต่นักการเมืองได้แบ่งแยกประชาชนที่หาทางสนับสนุนพวกตน ทำให้แบ่งค่ายเป็นพวกที่นิยมระบอบทักษิณและบางพวกไม่เห็นด้วย ทำให้เกิดการประชันหน้ากัน มีการขับเคลื่อนมวลชนทำให้ภาพลักษณ์ที่แสดงออกมาไม่เหมาะสมซึ่งก่อให้เกิดพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่อยู่ครอบครัวเดียวกัน ต้องมาทะเลาะกัน ถึงจะตบตีให้ตายถ้าไม่เข้าพวกด้วยกัน มีการแบ่งพรรคการเมืองออกเป็น 2 ขั้ว ขั้วที่เห็นด้วย กับขั้วที่ไม่เห็นด้วย และได้มีการเลือกตั้งที่ยังไม่สามารถบริหารบ้านเมือง ประชาชนถูกนักการเมืองจัดแบ่งแยกเป็นภาคที่เห็นด้วย จะสนับสนุนเพิ่มงบประมาณให้กับพวกที่สนับสนุนพรรคพวกตน ภาคไหนพวกตนไม่ได้รับการเลือกตั้งถ้าตนเองเป็นรัฐบาลจะไม่จัดสรรงบประมาณให้หรือให้น้อยลง เมื่อดูแล้วบ้านเมืองวุ่นวาย ไม่ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ทำให้โครงสร้างหน้าที่ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ได้รับผลกระทบต่อคนทุกคน ครอบครัว สังคม สถาบันระดับท้องถิ่นและระดับชาติ จึงได้มีกลไกอะไรสักอย่างที่พยายามจัดระบบสังคมให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า จึงได้รับความร่วมมือจากสถาบันอื่น ๆ ข้าพเจ้าขอกล่าวถึง ไม่ทราบว่าล่วงลึกหรือไม่หากไม่ถูกต้องขออภัยด้วย อาทิ สถาบันทหาร ตำรวจ ได้ร่วมกันเพื่อที่จะปฏิวัติ ในขณะนั้น โดยการขอเข้าพบ ประธานองคมนตรี เพื่อจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานนายกรัฐมนตรี ซึ่งพระองค์ท่านถูกกล่าวว่าเป็นมือที่สาม ทำให้เกิดข้อสงสัยต่าง ๆ มากมาย แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนออกมาชื่นชมโดยการมอบดอกไม้ให้กับทหารที่ออกมาปฏิวัติ เหตุการณ์รุนแรงต่างจึงไม่เกิดขึ้น พระองค์ท่านก็ได้มีพระราชดำรัสว่า “หากคนไทยไม่สามัคคีกันจะทำให้ประเทศชาติล่มจม” ไม่ควรที่จะแบ่งแยกเราทุกคนคือคนไทย ซึ่งหากนำทฤษฎีโครงสร้างมาอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า หากสังคมส่วนใดส่วนหนึ่งทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ หรือละเลยต่อหน้าที่จะถูกแทนที่หรือกระทำเพื่อปรับสมดุลให้เหมาะสมกับองค์กรหรือสังคมนั้น ให้ทำหน้าที่ดังกล่าวให้เป็นไปตามกระบวนการกล่าว ซึ่งในขณะนั้นก็ได้มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อมาทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองต่อไป เพื่อให้เกิดความสมดุลในการปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์สังคมก็อยู่รอดต่อไปได้
พลังที่เกิดนั้นมันเกิดได้อย่างไร มีการถวายกีฏาเพื่อขอนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกผลักดันจากพลังของประชาชนที่เห็นว่าไม่เกิดความเป็นธรรมเพื่อตอบสนองสร้างความสมดุลของปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จากสาเหตุดังกล่าวถึงนี้ มีเบื้องหลังมีที่ไปที่มาในการที่จะพยายามให้เกิดความสามัคคี ประชาชนทั้งประเทศไม่ต้องการให้เกิดการหลั่งเลือดทาแผ่นดิน เหมือนกรณีในวันที่ 14 ตุลาคม วันเรียกร้องประชาธิปไตยพระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ ที่ติดดิน เป็นพ่อหลวงที่ทุกคนในชาติรู้ดีว่า พระองค์ทรงเหนื่อยพระวรกายเป็นอย่างมาก ขณะที่เข้ารับการรักษาตัวอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช ก็มีประชาชนเข้าเฝ้ารับเสด็จจนกระทั่งพระองค์หายประชวร ได้รวมกันเฝ้ารอคอยพระองค์ท่านอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เสด็จกลับจากโรงพยาบาลทำให้ผู้คนสวมเสื้อเหลืองเปล่งเสียสองข้างทาง ณ ถนนราชดำเนิน ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ ตลอดที่พระองค์เสด็จกลับ ณ ตำหนักพระราชวังสวนจิตรลดา เป็นพลังอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้น มิได้จากการได้รับจ้างเพื่อเป็นอย่างอื่น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดการเสด็จพระราชดำเนินกลับ ประเด็นที่น่าสนใจการที่ปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามารุ่มประเทศชาติ ผลมาจากนักการเมืองที่ทำให้ประชาชนแตกแยก โดยการนำเอาการเมืองแบบตลาด มาใช้กับประชาชนคนไทยที่คิดไม่เป็น มัวแต่อามิสินจ้างจากนักการเมือง ผลที่ตามมาประชาชนเป็นผู้แพ้ คนที่ชนะคือ นักการเมืองและในสภาวะประเทศที่เกิดจากการรุกรานจากต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจในภาวะที่เราเปิดประเทศเสรี ทำให้ถูกต่างชาติลงทุนเอารัดเอาเปรียบนำเงินทุนที่ได้จากการลงทุนกลับไปยังประเทศของเขา เราคนไทยรู้ไม่เท่าทัน อาทิ การเปิดเทลโตโลตัส แมกโค คาร์ฟู เซเว่นอีเลเว่น ซึ่งเราไม่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ในเรื่องกฎหมาย คุ้มครองร้านสินค้าเล็ก ๆ แบบดั่งเดิมหรือเรียกร้านโชห่วย ความไม่พร้อมของประเทศทำให้เกิดผลกระทบกับการเป็นอยู่ของคนไทยมาก การนิยมบริโภคอาหารจานด่วน ทำให้ได้รับวัฒนธรรมตะวันตกที่นำมาเผยแพร่ให้กับคนไทย โดยเฉพาะเยาวชนลูกหลานที่ไม่ทราบเลยว่า สิ่งที่บริโภคเข้าไปไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากหนัก แต่เมื่อได้บริโภคแล้วมีความสุข แต่เกิดจากได้รับการสื่อโฆษณาที่ชักจูง หรือมั่วเมาให้เห็นว่าสิ่งที่สื่อได้โฆษณาหรือแสดงออกเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เสือเหลืองนั้น ในความรู้สึกของคนไทยโดยทั่วไป มีความเคารพเทิดทูนพระองค์ท่าน เสื้อเหลืองทำให้คนในชาติได้รวมพลังแสดงออกในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จครองราชย์สมบัติครบ 60 ปี ต่างชาติเห็นแล้วตลึงออกข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลก เห็นความเป็นปึกแผ่นของคนไทยที่แสดงออกถึงพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่รักแก่พระองค์ท่าน ที่ต้องการให้กำลังใจและด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ อันเนื่องมาจากพระองค์ท่านทรงประชวรและทรงหายพระประชวร ประกอบกับบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย คนไทยเป็นห่วงประเทศโดยการแสดงออกถึงการใส่เสื้อเหลืองเพื่อให้กำลังใจแก่พระองค์ท่านที่จะให้เกิดพลังไม่หมดกำลังใจ อยู่ต่อไปเพื่อบ้านเมืองคนไทยทุกคนเป็นห่วงพระองค์ท่าน จึงได้แสดงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ปรากฏการณ์นี้เองเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสถาบันพระมหากษัตริย์กับราษฎร์ของพระองค์ท่าน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ชุมชน สังคม สถาบันต่าง ๆ ที่ร่วมกันสดุดีแก่พระองค์ท่านครองราชย์สมบัติครบ 60 ปี สังคมร่วมกันสนับสนุนให้คนทำดีเพื่อพ่อหลวง ที่ทรงสร้างชาติไทยในดำรงอยู่ได้ต่อไปในอนาคต หากเราพิจารณาตามทฤษฎีหน้าที่นิยม สังคมแต่ละสังคมประกอบด้วยระบบต่าง ๆ อาทิ ระบบครอบครัวเศรษฐกิจ ศาสนา การเมืองการปกครอง แต่ละระบบจะทำหน้าที่ของตนเอง ในขณะเดียวกันหากถูกกระทบหรือไม่ได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ระบบจะถูกจัดการให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปให้ได้ จากความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลต่อกัน มนุษย์ได้จัดความสัมพันธ์โดยการสร้างสถาบันต่าง ๆ อาทิ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันองค์กรรัฐและเอกชน เป็นมิติความเชื่อถือ ค่านิยม จุดมุ่งหมายร่วมกัน ที่เป็นการเสริมพลังที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อทำหน้าที่ให้กับสังคมอยู่ได้อย่างสันติสุข หากสถาบันเสื่อมสลายลงก็มีผลต่อการดำรงชีวิตขึ้นได้ จะต้องมีการปรับตัวทุกสถาบันเพื่อให้สามารถดำรงอยู่ได้ ดังปรากฏการณ์ทางสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบอยู่ตลอดเวลา เมื่อส่วนใดเปลี่ยน ส่วนที่เหลือต้องปรับตัวเพื่อรักษาความสมดุล(equilibrium) ของสังคมไว้
วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น